ความรู้พื้นฐานด้านการตลาด (The Basic of Marketing)
สาระการเรียนรู้
1. วิวัฒนาการทางการตลาด
2. ความหมายของตลาดและการตลาด
3. องค์ประกอบหรือส่วนประสมทางการตลาด
4. การสร้างอรรถประโยชน์ให้แก่สินค้าและบริการ
5. ความสำคัญของการตลาด 2. ความหมายของตลาดและการตลาด
3. องค์ประกอบหรือส่วนประสมทางการตลาด
4. การสร้างอรรถประโยชน์ให้แก่สินค้าและบริการ
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. บอกวิวัฒนาการทางการตลาดทั้งสามระบบได้อย่างถูกต้อง
2. เปรียบเทียบความแตกต่างของตลาดและการตลาดได้
3. อธิบายองค์ประกอบหรือส่วนประสมทางการตลาดได้ถูกต้อง
4. อธิบายอรรถประโยชน์ของการตลาดที่มีต่อผู้บริโภคได้ถูกต้อง
5. บอกความสำคัญของการตลาดได้
2. เปรียบเทียบความแตกต่างของตลาดและการตลาดได้
3. อธิบายองค์ประกอบหรือส่วนประสมทางการตลาดได้ถูกต้อง
4. อธิบายอรรถประโยชน์ของการตลาดที่มีต่อผู้บริโภคได้ถูกต้อง
5. บอกความสำคัญของการตลาดได้
เนื้อหาสาระ
ลักษณะทั่วไปของการตลาด (The Nature of Marketing)
ปัจจุบันการตลาด (Marketing) มีบทบาทสำคัญต่อองค์การธุรกิจต่าง ๆ เนื่องจากเป็นการติดต่อเกี่ยวข้องกับ "คน" เพื่อตอบสนองและบำบัดความต้องการให้ได้รับความพอใจ (Satisfaction) มากที่สุด ซึ่งจะทำให้เกิดการซื้อขายหรือกระบวนการแลกเปลี่ยน (Exchange Process) เกิดขึ้นอันเป็นที่มาของรายได้แก่องค์การต่าง ๆ
เมื่อการตลาดเกี่ยวข้องกับความต้องการของคน ซึ่งมีผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตใจประกอบกับสภาพแวดล้อมภายนอกที่เป็นปัจจัยควบคุมไม่ได้ รวมทั้งข้อจำกัดทางด้านกฎหมาย การเมือง เศรษฐกิจ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมของแต่ละสังคม ที่มีการปรับเปลี่ยนตามวิวัฒนาการทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว เป็นผลทำให้ "การตลาด" จำเป็น ต้องปรับเปลี่ยนให้ทันกับสภาพการณ์ต่าง ๆ ตลอดเวลา จึงเกิดกิจกรรมทางการตลาดที่แตกต่างกันเพื่อสนองความพอใจของผู้ซื้อให้เกิดขึ้นจะเห็นได้ว่าความก้าวหน้าของการตลาดจะดำเนินไปตามความเจริญรุ่งเรืองหรือตกต่ำตามสภาวะทางเศรษฐกิจในแต่ละสังคม
วิวัฒนาการทางการตลาด (Marketing Development)
สภาพการตลาดเมื่อเริ่มก่อตัวขึ้นมีผลทำให้เกิดระบบการแลกเปลี่ยนซึ่งสามารถจัดแบ่งได้เป็น 3 ระบบ ดังต่อไปนี้
1. ระบบการแลกเปลี่ยนสิ่งของต่อสิ่งของ (Barter System)
เริ่มต้นในสมัยดึกดำบรรพ์ จนถึงสมัยของการเลียนแบบธรรมชาติ ซึ่งอาจแบ่งการพิจารณาได้ดังนี้
เริ่มต้นในสมัยดึกดำบรรพ์ จนถึงสมัยของการเลียนแบบธรรมชาติ ซึ่งอาจแบ่งการพิจารณาได้ดังนี้
ระยะแรก คนส่วนใหญ่อาศัยการช่วยเหลือตนเองเป็นหลัก คือผลิตอาหาร เครื่องนุ่งห่มเอง มีการสร้างที่อยู่อาศัย ตลอดจนเครื่องมือเครื่องใช้ขึ้นเอง พึ่งตนเองโดยไม่มีการแลกเปลี่ยนและซื้อขาย
ระยะต่อมา แนวความคิดด้านการแบ่งงานกันทำตามความถนัด (Specialization) ได้เข้ามาเกี่ยวพันมากขึ้น ช่างฝีมือสนใจผลิตแต่งงานที่ตนเองถนัดและเมื่อผลิตได้มากกว่าที่ตนต้องการ ส่วนที่เกินจากความจำเป็นใช้ก็นำไปช่วยตอบสนองความต้องการของผู้อื่น นั่นคือการค้า (Trade) ในลักษณะของการแลกเปลี่ยนสิ่งของต่อสิ่งของ (Barter System) ซึ่งเริ่มเกิดขึ้นในขอบเขตที่อยู่ใกล้เคียงกันก่อน ต่อมามีการขยายกว้างขวางมากขึ้น แต่รูปลักษณ์ตลาดยังไม่ชัดเจน
ระยะต่อมา แนวความคิดด้านการแบ่งงานกันทำตามความถนัด (Specialization) ได้เข้ามาเกี่ยวพันมากขึ้น ช่างฝีมือสนใจผลิตแต่งงานที่ตนเองถนัดและเมื่อผลิตได้มากกว่าที่ตนต้องการ ส่วนที่เกินจากความจำเป็นใช้ก็นำไปช่วยตอบสนองความต้องการของผู้อื่น นั่นคือการค้า (Trade) ในลักษณะของการแลกเปลี่ยนสิ่งของต่อสิ่งของ (Barter System) ซึ่งเริ่มเกิดขึ้นในขอบเขตที่อยู่ใกล้เคียงกันก่อน ต่อมามีการขยายกว้างขวางมากขึ้น แต่รูปลักษณ์ตลาดยังไม่ชัดเจน
สรุป
ปัญหาที่เกิดขึ้นจากระบบการแลกเปลี่ยนสิ่งของต่อสิ่งของ (Barter System) ได้แก่
1. Assortment (สิ่งของที่จะแลกเปลี่ยนไม่ตรงกัน)
2. Time (เวลาที่เกิดความต้องการจะและเปลี่ยนไม่ตรงกัน)
3. Quantity (ปริมาณหรืออัตราการแลกเปลี่ยนไม่ชัดเจน ขึ้นอยู่กับแต่ละสภาพท้องถิ่นและความจำเป็นในการใช้สินค้า
4. Distance (ระยะทางไกลเกินไปในกรณีที่ตลาดมีการขยายอาณาเขตมากขึ้น)
ปัญหาที่เกิดขึ้นจากระบบการแลกเปลี่ยนสิ่งของต่อสิ่งของ (Barter System) ได้แก่
1. Assortment (สิ่งของที่จะแลกเปลี่ยนไม่ตรงกัน)
2. Time (เวลาที่เกิดความต้องการจะและเปลี่ยนไม่ตรงกัน)
3. Quantity (ปริมาณหรืออัตราการแลกเปลี่ยนไม่ชัดเจน ขึ้นอยู่กับแต่ละสภาพท้องถิ่นและความจำเป็นในการใช้สินค้า
4. Distance (ระยะทางไกลเกินไปในกรณีที่ตลาดมีการขยายอาณาเขตมากขึ้น)
วิธีการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากการแลกเปลี่ยนสิ่งของต่อสิ่งของ
1. สร้างระบบเงินตรา (Money System) มาช่วยเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนเพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งของที่จะแลกเปลี่ยนไม่ตรงกัน ขณะเดียวกันก็ใช้เงินตราเป็นตัวกำหนดมูลค่าสินค้าและอัตรามูลค่าของสิ่งของต่าง ๆ
2. สร้างตลาด (Market) โดยการกำหนดสถานที่เพื่อนัดพบของกลุ่มคนที่ประสงค์จะมีการแลกเปลี่ยนเพื่อแก้ไขในเรื่องระยะเวลาและระยะทางในการขนส่ง ทำให้เกิดการค้าและตลาดขึ้นอย่างชัดเจน
3. เกิดคนกลาง (Middle man) เพื่อช่วยลดปัญหาทั้งชนิด ปริมาณของสินค้าและระยะทาง ตลอดจนเวลาที่ต้องสูญเสียไปจากการรอคอยการแลกเปลี่ยน หรือมีปัญหาจากการตัดสินใจไม่ได้ จึงมีผู้เข้ามาทำหน้าที่รวบรวมสิ่งของการผู้ผลิตแหล่งต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกเรื่องของเวลา และนี่คือกำเนิดของการตลาดนั่นเอง จากความพยายามในการแก้ไขปัญหาระบบการแลกเปลี่ยนสิ่งของต่อสิ่งของ ทำให้เกิดตลาดหรือการค้าขึ้น (Market and Trading) และพัฒนาการมาเป็นการตลาด (Marketing) ในปัจจุบัน
1. สร้างระบบเงินตรา (Money System) มาช่วยเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนเพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งของที่จะแลกเปลี่ยนไม่ตรงกัน ขณะเดียวกันก็ใช้เงินตราเป็นตัวกำหนดมูลค่าสินค้าและอัตรามูลค่าของสิ่งของต่าง ๆ
2. สร้างตลาด (Market) โดยการกำหนดสถานที่เพื่อนัดพบของกลุ่มคนที่ประสงค์จะมีการแลกเปลี่ยนเพื่อแก้ไขในเรื่องระยะเวลาและระยะทางในการขนส่ง ทำให้เกิดการค้าและตลาดขึ้นอย่างชัดเจน
3. เกิดคนกลาง (Middle man) เพื่อช่วยลดปัญหาทั้งชนิด ปริมาณของสินค้าและระยะทาง ตลอดจนเวลาที่ต้องสูญเสียไปจากการรอคอยการแลกเปลี่ยน หรือมีปัญหาจากการตัดสินใจไม่ได้ จึงมีผู้เข้ามาทำหน้าที่รวบรวมสิ่งของการผู้ผลิตแหล่งต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกเรื่องของเวลา และนี่คือกำเนิดของการตลาดนั่นเอง จากความพยายามในการแก้ไขปัญหาระบบการแลกเปลี่ยนสิ่งของต่อสิ่งของ ทำให้เกิดตลาดหรือการค้าขึ้น (Market and Trading) และพัฒนาการมาเป็นการตลาด (Marketing) ในปัจจุบัน
ระบบเงินตรา (Money System)
หมายถึง การใช้สื่อกลางมาเชื่อมโยงให้เกิดการแลกเปลี่ยนเริ่มต้นก่อนศตวรรษที่ 10 ซึ่งอาจจะพิจารณาได้ดังนี้
หมายถึง การใช้สื่อกลางมาเชื่อมโยงให้เกิดการแลกเปลี่ยนเริ่มต้นก่อนศตวรรษที่ 10 ซึ่งอาจจะพิจารณาได้ดังนี้
ระยะแรก "การตลาด" เริ่มต้นด้วย บรรดาผู้ผลิตขนาดย่อมผลิตสินค้าของตนให้มากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการในอนาคตทั้งด้านจำนวน ชนิดและปริมาณ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแลกเปลี่ยนให้มากและรวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการที่มากขึ้น ฉะนั้นจึงมีการแบ่งงานกันทำและทำให้เกิดกิจกรรมทางการตลาดด้านต่าง ๆ มากขึ้นตามลำดับ ซึ่งผู้ที่ทำหน้าที่อำนวยความสะดวกให้ระหว่างผู้ทำการแลกเปลี่ยนเรียกว่า "คนกลาง" (Middleman) และได้มีการพัฒนาหาสื่อกลางประเภทต่าง ๆ มาเพิ่มขีดความสามารถในการแลกเปลี่ยนให้คล่องตัวยิ่งขึ้น สื่อกลางดังกล่าวในแต่ละยุคแต่ละสมัยและสถานที่อาจแตกต่างกัน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการยอมรับของกลุ่มชนนั้น ๆ เช่น หนังสัตว์ เปลือกหอย เกลือ เหล็ก เงิน ทอง เป็นต้น
ระยะหลัง ประมาณครึ่งหลังของศตวรรษที่ 10 ถึงประมาณปี 1920 ในยุคของการปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industrial Revolution) ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของประชากรในตัวเมืองใหญ่ ๆ และประชาชนตามชนบทลดลง ทำให้การเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตโดยการใช้เครื่องจักรกลแทนแรงงานคนและสัตว์ ตลอดจนเปลี่ยนจากอุตสาหกรรมในครัวเรือนเป็นโรงงานแทน เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นการผลิตที่เน้นอุปสงค์ (Demand) ในสินค้าและบริการต่าง ซึ่งสูงกว่าอุปทาน (Supply) อยู่มาก ต่อมาปัญหาทางการตลาดก็เกิดขึ้น การผลิตขนาดใหญ่ (Mass Product) ทำให้ผลผลิตมากเกินความจำเป็น จึงต้องหาวิธีการจำหน่ายให้สัมพันธ์กัน ตลาดเริ่มกว้างขึ้นและห่างไกลออกไป วิธีการและการจัดจำหน่ายใหม่ ๆ ก็ต้องพัฒนาขึ้น ผู้เชี่ยวชาญทางด้านคนกลางและกิจกรรมต่าง ๆ ทางการตลาดก็เจริญเติบโตขึ้นตามลำดับ ผลจากการนำเงินตรามาเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนเริ่มประสบปัญหาในความคล่องตัว
ปัญหาที่เกิดจากการแลกเปลี่ยนด้วยการใช้เงินตราเป็นสื่อกลาง กล่าวคือ การใช้เงินเป็นสื่อกลาง เมื่อผู้ซื้อขาดเงินตราในมือ ถึงแม้มีความต้องการ การแลกเปลี่ยนจะไม่เกิดขึ้นทำให้พ่อค้าไม่สามารถขายสินค้าได้ ระบบการค้าหยุดชะงัก การผลิตเริ่มลดลง ซึ่งเป็นผลมาจากตัวเงินตราเอง นอกจากนี้ยังมีปัญหาด้านการพกพา อัตราแลกเปลี่ยน การผลิตเงินเป็นต้น ดังนั้นเพื่อสร้างความคล่องตัวในการแลกเปลี่ยนให้ดียิ่งขึ้น จึงพัฒนาไปสู่ระบบเครดิต
ระยะหลัง ประมาณครึ่งหลังของศตวรรษที่ 10 ถึงประมาณปี 1920 ในยุคของการปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industrial Revolution) ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของประชากรในตัวเมืองใหญ่ ๆ และประชาชนตามชนบทลดลง ทำให้การเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตโดยการใช้เครื่องจักรกลแทนแรงงานคนและสัตว์ ตลอดจนเปลี่ยนจากอุตสาหกรรมในครัวเรือนเป็นโรงงานแทน เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นการผลิตที่เน้นอุปสงค์ (Demand) ในสินค้าและบริการต่าง ซึ่งสูงกว่าอุปทาน (Supply) อยู่มาก ต่อมาปัญหาทางการตลาดก็เกิดขึ้น การผลิตขนาดใหญ่ (Mass Product) ทำให้ผลผลิตมากเกินความจำเป็น จึงต้องหาวิธีการจำหน่ายให้สัมพันธ์กัน ตลาดเริ่มกว้างขึ้นและห่างไกลออกไป วิธีการและการจัดจำหน่ายใหม่ ๆ ก็ต้องพัฒนาขึ้น ผู้เชี่ยวชาญทางด้านคนกลางและกิจกรรมต่าง ๆ ทางการตลาดก็เจริญเติบโตขึ้นตามลำดับ ผลจากการนำเงินตรามาเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนเริ่มประสบปัญหาในความคล่องตัว
ปัญหาที่เกิดจากการแลกเปลี่ยนด้วยการใช้เงินตราเป็นสื่อกลาง กล่าวคือ การใช้เงินเป็นสื่อกลาง เมื่อผู้ซื้อขาดเงินตราในมือ ถึงแม้มีความต้องการ การแลกเปลี่ยนจะไม่เกิดขึ้นทำให้พ่อค้าไม่สามารถขายสินค้าได้ ระบบการค้าหยุดชะงัก การผลิตเริ่มลดลง ซึ่งเป็นผลมาจากตัวเงินตราเอง นอกจากนี้ยังมีปัญหาด้านการพกพา อัตราแลกเปลี่ยน การผลิตเงินเป็นต้น ดังนั้นเพื่อสร้างความคล่องตัวในการแลกเปลี่ยนให้ดียิ่งขึ้น จึงพัฒนาไปสู่ระบบเครดิต
ระบบเครดิต (Credit System)
เมื่อประชากรมากขึ้นสังคมมีการเจริญเติบโต สมาชิกทางการค้ามีมากขึ้น กิจกรรมการตลาดเติบโตเป็นศูนย์การค้า กระจายอยู่ในตัวเมืองและชานเมือง ประกอบกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการคมนาคมและการติดต่อสื่อสาร ทำให้ผู้ซื้อและผู้ขายไม่จำเป็นต้องพบปะกัน ณ สถานที่เรียกว่า "ตลาด" ก็ได้ เช่น การติดต่อสื่อสารทางจดหมาย โทรเลข โทรศัพท์ โทรพิมพ์ โทรสาร และคอมพิวเตอร์ เป็นต้น การใช้อุปกรณ์โทรคมนาคมสมัยใหม่เข้ามาช่วยทำให้การตลาดเติบโตไปอย่างกว้างขวางนี้ เรียกว่า "โทรการตลาด" (Telemarketing) เมื่อมีการตกลงซื้อขายตามเงื่อนไขต่าง ๆ กันเรียบร้อยแล้ว อาจใช้คนกลางทางการตลาด เช่นบริษัทขนส่งสินค้าเป็นผู้นำส่งสินค้าไปส่งมอบให้ และมอบหมายให้ธนาคารเป็นผู้รับและจ่ายเงินค่าสินค้าแทนในรูปของบัตรเครดิตต่าง ๆ แทนการใช้เงินตรา
การพัฒนาระบบการแลกเปลี่ยนจัดว่าเป็นการพัฒนาการตลาดให้เกิดความคล่องตัวเช่นเดียวกัน ในอนาคตอาจจะมีสื่อกลางหรือระบบแลกเปลี่ยนที่ไม่ต้องใช้ตัวเงินหรือบัตรเครดิตช่วยให้ระบบการค้าเกิดความคล่องตัวสูง การหมุนเวียนของเงินตราเปลี่ยนมือเร็ว แต่ทำให้วิถีการดำเนินชีวิตของประชาชนมีปัญหามากขึ้น กล่าวคือ มีนิสัยในการอุปโภคบริโภคเปลี่ยนแปลงไป ไม่สามารถระงับความต้องการตนเองได้ ใช้จ่ายสูงเป็นหนี้กันมาก ทำให้สถาบันการเงิน ธนาคาร ต้องพยายามจัดระบบมาป้องกันหนี้สูญ ด้วยวิธีการและมาตรการใหม่ ๆ
เมื่อประชากรมากขึ้นสังคมมีการเจริญเติบโต สมาชิกทางการค้ามีมากขึ้น กิจกรรมการตลาดเติบโตเป็นศูนย์การค้า กระจายอยู่ในตัวเมืองและชานเมือง ประกอบกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการคมนาคมและการติดต่อสื่อสาร ทำให้ผู้ซื้อและผู้ขายไม่จำเป็นต้องพบปะกัน ณ สถานที่เรียกว่า "ตลาด" ก็ได้ เช่น การติดต่อสื่อสารทางจดหมาย โทรเลข โทรศัพท์ โทรพิมพ์ โทรสาร และคอมพิวเตอร์ เป็นต้น การใช้อุปกรณ์โทรคมนาคมสมัยใหม่เข้ามาช่วยทำให้การตลาดเติบโตไปอย่างกว้างขวางนี้ เรียกว่า "โทรการตลาด" (Telemarketing) เมื่อมีการตกลงซื้อขายตามเงื่อนไขต่าง ๆ กันเรียบร้อยแล้ว อาจใช้คนกลางทางการตลาด เช่นบริษัทขนส่งสินค้าเป็นผู้นำส่งสินค้าไปส่งมอบให้ และมอบหมายให้ธนาคารเป็นผู้รับและจ่ายเงินค่าสินค้าแทนในรูปของบัตรเครดิตต่าง ๆ แทนการใช้เงินตรา
การพัฒนาระบบการแลกเปลี่ยนจัดว่าเป็นการพัฒนาการตลาดให้เกิดความคล่องตัวเช่นเดียวกัน ในอนาคตอาจจะมีสื่อกลางหรือระบบแลกเปลี่ยนที่ไม่ต้องใช้ตัวเงินหรือบัตรเครดิตช่วยให้ระบบการค้าเกิดความคล่องตัวสูง การหมุนเวียนของเงินตราเปลี่ยนมือเร็ว แต่ทำให้วิถีการดำเนินชีวิตของประชาชนมีปัญหามากขึ้น กล่าวคือ มีนิสัยในการอุปโภคบริโภคเปลี่ยนแปลงไป ไม่สามารถระงับความต้องการตนเองได้ ใช้จ่ายสูงเป็นหนี้กันมาก ทำให้สถาบันการเงิน ธนาคาร ต้องพยายามจัดระบบมาป้องกันหนี้สูญ ด้วยวิธีการและมาตรการใหม่ ๆ